ประวัติความเป็นมาของโรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่

ประวัติโรงเรียน
โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ เดิมชื่อโรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคม
ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นจากคณะสงฆ์ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ครู พ่อค้าคหบดี ในตำบลสัน-กลาง ตำบลบ้านแม และตำบลยุหว่า ซึ่งได้มีความเห็นร่วมกันว่า สมควรจัดตั้งโรงเรียนมัธยม-ศึกษาประจำตำบลขึ้นโดยใช้พื้นที่สาธารณะหน้า วัดวนาราม-น้ำบ่อหลวง หมู่ที่ 5 ตำบลสันกลาง (หมู่ที่ 2 ตำบลน้ำบ่อหลวงในปัจจุบัน) โดยได้เสนอผ่านอำเภอสันป่าตอง ตามหนังสือที่ ชม.61/4520 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2521 และกรมสามัญศึกษาได้ประกาศให้ตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบลขึ้น ใช้ชื่อ "โรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคม" ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์2522 และได้เริ่มก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราว 2 หลัง และห้องส้วม ขนาด 3 ที่นั่งโดยได้รับบริจาคจากประชาชนในท้องที่ 3 ตำบล มีนายโสภา สุวรรณศรีคำศึกษาธิการอำเภอในขณะนั้น รักษาราชการแทน ในตำแหน่งครูใหญ่ ต่อมากรมสามัญศึกษาได้ส่งนายองอาจ เจริญเวช มาเป็นครูใหญ่ มีครู 5 คนเปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีนักเรียนรุ่นแรก 45 คน ต่อมาในปี 2530 ได้รับคัดเลือกเข้าในโครงการ มพช.2 รุ่นที่ 2 จึงได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียน โรงฝึกงาน และปรับปรุงบริเวณ โรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคมได้รับการรับรองเป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนในฝันในปี พ.ศ. 2548 ปัจจุบันเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง ปีที่ 6 เข้าร่วมเครือข่ายโรงเรียนเทพศิรินทร์ ในปีการศึกษา 2550 โดยได้รับความเห็นชอบและสนับสนุน จากคณะกรรมการโรงเรียนเทพศิรินทร์ และสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนเครือข่าย ลำดับที่ 8 โดยเริ่มนับจาก
ลำดับที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์
ลำดับที่ 2 โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า
ลำดับที่ 3 โรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี
ลำดับที่ 4 โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี
ลำดับที่ 5 โรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค
ลำดับที่ 6 โรงเรียนเทพศิรินทร์ลาดหญ้า กาญจนบุรี
ลำดับที่ 7 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ขอนแก่น
วิสัยทัศน์
โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ เป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา โดยมุ่งเน้นความสามารถด้านเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสาธารณสมบัติ
พันธกิจ
1. พัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้ได้ระดับมาตรฐานการศึกษา
2. พัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพ
3. พัฒนาระบบบริหารการจัดการ
4. พัฒนาสภาพบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียน
เป้าประสงค์
นักเรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษา มีความสามารถด้านเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ และมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสาธารณสมบัติ
ตราประจำโรงเรียน เทพศิรินทร์ เชียงใหม่
ภาพอาทิตย์อุทัยทอแสงบนพื้นน้ำทะเล หมายถึง “ภาณุรังสี” และ “วังบูรพาภิรมย์” โดย “ภาณุรังสี” นี้เป็นพระนามของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ผู้ทรงประทานตรานี้ให้แก่โรงเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2467 พระองค์ทรงมีพระคุณอเนกอนันต์แก่โรงเรียน อาทิทรงเป็นผู้ทูลขอให้ทรงสถาปนาโรงเรียนต่อองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการสถาปนาโรงเรียนแบบถาวรและทรงถือว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนในดูแลของพระองค์ด้วย
อักษรประดิษฐ์ “ม” หมายถึง “หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา” ชายาอันเป็นที่รักของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงหม่อมแม้น ว่าถ้าไม่มีหม่อนแม้น การกำเนิด ตึกแม้นนฤมิตร ก็คงไม่มี ดังนั้นโรงเรียนเทพศิรินทร์ก็คงไม่มี จึงเป็นความหมายที่ควรระลึกไว้
ช่อดอกรำเพย หมายถึง พระนามแห่งองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ทรงมีพระนามเดิมว่า“พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์” พระบามราชชนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงสร้างพระอารามและโรงเรียนเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระบรมราชชนี ทำเครื่องหมายดอกรำเพยไว้เพื่อให้คนรุ่นหลัง รู้ไว้ว่าพระนามเทพศิรินทร์นี้ได้มาจากพระองค์ท่าน เป็นพระนามมหามงคลยิ่งควรรักษาไว้ให้ดี

สีประจำโรงเรียน คือ “สีเขียวและสีเหลือง” เป็นสีประจำวันพฤหัสบดี ตามตำราพิชัยสงคราม (สวัสดิรักษา) ซึ่งวันพฤหัสบดีนั้นเป็นวันประสูติของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 4 อีกทั้งยังเป็นสีของใบและดอกของต้นรำเพย ซึ่งเป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี คือ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์
ดอกรำเพย จึงถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโรงเรียนเทพศิรินทร์
พุทธสุภาษิตประจำโรงเรียน “น สิยา โลกวฑฺฒโน” ความหมายคือ “ไม่ควรเป็นคนรกโลก” เป็นพุทธสุภาษิตซึ่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์องค์ที่ 5 ได้ประสาทให้แก่โรงเรียน และท่านอธิบายความหมายของพุทธสุภาษิตบทนี้ว่า “คนเราบางคน เกิดมารกโลก ทำนองเดียวกับติณชาติที่หาประโยชน์อะไรมิได้ ทำให้เสียเงินทองกำจัด และรกชัฏขวากหนาม บางอย่างเป็นศัตรูแก่โลกไม่เป็นประโยชน์ มนุษย์ที่ไม่มีเมตตากรุณา คอยแต่จะเบียดเบียยนผู้อื่น จัดว่าเป็นคนรกโลก อย่าเกิดมาเลยเสียดีกว่า สู้สัตว์บางชนิดก็ไม่ได้”

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น